หลายคนมีความสนใจในเรื่องของการลงทุน โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนในยุคปัจจุบันที่เริ่มหันมาสนใจการออมเงินด้วยการลงทุนกันเยอะขึ้น แต่การซื้อหุ้นสำหรับมือใหม่นั้นดูจะเป็นเรื่องยุ่งยากและชวนปวดหัวไม่น้อย เพราะฉะนั้นเราจึงจะมาแนะนำวิธีเล่นหุ้นฉบับง่าย ๆ สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาศึกษา ใครที่กำลังสนใจที่จะเล่นหุ้นอยู่นั้น บอกเลยว่าต้องอ่าน
รู้จักกันก่อนว่า การเล่นหุ้นคืออะไร
การเล่นหุ้น หรือการลงทุนในหุ้น ก็คือการซื้อหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยวิธีซื้อหุ้นนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธีคือ
- ซื้อขายหุ้นในตลาดแรก หรือ IPO (Initial Public Offering) เกิดจากการที่บริษัทต้องการระดมทุนจากนักลงทุนเพื่อขยายกิจการ ซึ่งราคาหุ้นจะถูกกำหนดไว้ และจะต้องซื้อผ่านผู้จัดจำหน่ายเท่านั้น เช่น บริษัทหลักทรัพย์ หรือตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์ที่บริษัทหลักทรัพย์แต่งตั้ง
- ซื้อขายหุ้นในตลาดรอง จะเป็นการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และราคาของหุ้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามผลประกอบการของบริษัท และสภาวะตลาด
ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นนั้น มีด้วยกัน 2 แบบ แบบแรกคือกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นที่เราซื้อมากับราคาที่เราขายไป แบบที่สองคือเงินปันผล หรือเงินส่วนแบ่งผลกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปีที่นำมาจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นนั่นเอง
อยากเล่นหุ้นต้องเริ่มยังไง
- ขั้นตอนแรกของการเข้าไปในตลาดหุ้น เพื่อซื้อขายหุ้น หรือเทรดหุ้นนั้น เราจะต้องเปิดบัญชีหุ้นกับโบรกเกอร์ หรือที่เรียกกันว่า เปิดพอร์ต เสียก่อน ซึ่งคนที่จะเปิดพอร์ตได้นั้นต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป โดยใช้เอกสารคือ สำเนาบัตรประชาชน สำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคาร สำเนาทะเบียนบ้าน และ Statement ธนาคาร ย้อนหลัง 3 เดือน
- เลือกโบรกเกอร์ โบรกเกอร์ก็คือ บริษัทหลักทรัพย์ที่ทำหน้าที่รับคำสั่งซื้อขายหุ้นจากผู้ลงทุน แล้วส่งเข้าระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์เพื่อจับคู่คำสั่งซื้อขายโดยอัตโนมัติ หรือพูดให้เข้าใจก็คือ เปรียบเสมือนเป็นผู้ช่วยของเรานั่นเอง ซึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกโบรกเกอร์นั้นมีหลายอย่าง ทั้งในเรื่องของความน่าเชื่อถือ การให้บริการ การให้ข้อมูลวิเคราะห์ และค่าธรรมเนียมในการซื้อขายซึ่งจะมีแบบค่าคอมปกติ คือเทรด 10000 บาท จะเสียค่าธรรมเนียมประมาณ 15 บาท ไม่รวม VAT และแบบค่าคอมถูก คือเทรด 10000 บาท เสียค่าธรรมเนียมประมาณ 5-10 บาท ไม่รวม VAT
- เลือกประเภทบัญชี โดยบัญชีหุ้นนั้นจะมี3 ประเภท คือ
3.1 บัญชีวางเงินล่วงหน้า หรือ Cash Balance บัญชีนี้จะเป็นแบบตรงไปตรงมา เรามีเงินในบัญชีเท่าไหร่ ก็สามารถซื้อหุ้นได้จำนวนเท่านั้น
3.2 บัญชีเงินสด หรือ Cash Account บัญชีนี้คือเราต้องมีเงินหรือหุ้นในบัญชีเป็นมูลค่า 20% ของหุ้นที่ต้องการจะซื้อ ในวันที่ส่งคำสั่งซื้อ ซึ่งจะต่างกับแบบCash Balance ที่ต้องมีเงินสดเท่ากับมูลค่าที่ต้องการซื้อ
3.3 บัญชีกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ หรือ Credit Balance Account เป็นบัญชีสำหรับผู้ที่ต้องการมีอำนาจซื้อหุ้นมากกว่าเงินที่ตัวเองมีอยู่ โดยใช้เงินหรือหลักทรัพย์ของตัวเองมาวางเป็นหลักประกัน และต้องเสียดอกเบี้ยในส่วนที่กู้ยืมด้วย
ซึ่งรายละเอียดของแต่ละบัญชีอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละโบรกเกอร์ เราควรสอบถามและตรวจสอบกับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง เพื่อที่เราจะได้เลือกประเภทบัญชีที่เหมาะกับตนเอง สำหรับมือใหม่ก็แนะนำให้เปิดบัญชี Cash Balance หรือ Cash Account ก่อน เพราะสะดวกและง่ายกว่า
การซื้อขายหุ้น ทำอย่างไร
เมื่อเราได้ทำการเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นเรียบร้อยแล้ว โบรกเกอร์จะแนะนำให้เราเปิดใช้บริการทาง Internet เพื่อใช้ซื้อขายหุ้นได้ด้วยตัวเอง โดยเราสามารถซื้อขายหุ้นผ่านแอพลิเคชั่นได้แล้ว ที่นิยมใช้คือแอพที่ชื่อว่า Streaming จะซื้อขายที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ สะดวกมาก ๆ
และอีกวิธีคือ การซื้อขายผ่านนายหน้า ซึ่งจะมีข้อดีคือมักจะคอยแนะนำข้อมูลหุ้นให้กับเรา แต่การซื้อขายวิธีนี้จะมีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่าค่าธรรมเนียมของการเทรดผ่าน Internet ด้วยตัวเอง ซึ่งค่าคอมมิชชั่น หรือค่าธรรมเนียมในการซื้อขายนั้น จะมีราคาที่แตกต่างกันในแต่ละโบรกเกอร์ ซึ่งเราควรจะต้องพิจารณาในข้อนี้ด้วย
สุดท้ายนี้ เมื่อเราได้ทำการเปิดบัญชีหุ้นเรียบร้อยแล้ว ก็อย่าลืมที่จะศึกษาหาความรู้ในเรื่องของการเล่นหุ้นเพิ่มเติม เพื่อให้พร้อมสำหรับการลงทุน รวมถึงต้องสั่งสมประสบการณ์ในการเล่นหุ้นหรือเทรดหุ้นให้มากๆ เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง แต่ถ้าเราเข้าใจและสามารถรับมือกับความเสี่ยงนั้นได้ การเล่นหุ้นของมือใหม่ก็จะไม่ยากอีกต่อไป